ในที่นี้ขออ้างอิงถึงโปรแกรม AutoCAD Raster Design ที่ทำงานบน AutoCAD, Civil 3D เพื่อความสะดวกในการยกตัวอย่าง
Image data attributes
- Bitonal color map ควบคุมสีที่กำหนดให้กับ linework (สีของ foreground) และ background ของภาพขาวดำ (bitonal image)
-
การปรับ
color
map ของภาพ image จะใช้ AutoCAD Image Adjust ไดอล็อกบ็อกซ์ ในการควบคุมค่าความสว่าง (value of
brightness), contrast และ
ความจางของภาพ (fade)
- Palette Control map มีหลายตัวเลือก
(options)
เพื่อแปลค่าและแสดงผลข้อมูล (interpreting
& displaying) ตัวอย่างเช่น ท่านสามารถแสดงผล surface
elevation, slope หรือ
aspect
ด้วยการเลือกช่วงของข้อมูล (data range) และกำหนดสีให้กับช่วงข้อมูลนั้น
- Band assignment color map จะกำหนด data band ที่จะแสดงผล และจะใช้สีอะไร (color channel – red/green/blue) ในแต่ละ band การกำหนด channels ให้กับ bands ด้วยวิธีพิเศษ ทำใก้สามารถสร้างภาพแบบ false color image สำหรับการวิเคราะห์ เช่นการแสดงผลพื้นที่เพาะปลูกหรือแหล่งน้ำ เป็นต้น
ความสามารถพื้นฐานของโปรแกรม Conversion
สามารถใส่ภาพ Raster ในแบบวาด (drawing) แล้วสามารถแก้ไข ตำแหน่ง ขนาดสเกล ค่าการแสดงผล (display value) เช่น ค่าความสว่าง (brightness) ค่า contrast นอกจากนี้ยังสามารถทำงานกับภาพ raster ได้คือ
- ทำการแก้ไขข้อมูล raster data ของภาพ (image) ได้อย่างถาวร
- สามารถใส่ภาพ (image) ที่มีค่าการปรับแก้
(correlation data) ลงในแบบวาด
(drawing)
-
สามารถ
save ภาพ (image) ได้ใน
Format อื่นๆ
-
สามารถ
Export ภาพ
(image) ออกไปเป็นไฟล์ external correlation files
การแปลงภาพ (Image / Raster) ให้เป็น Vector เพื่อเอาไปเขียนแบบหรือออกแบบต่อไป โดยการทำงานจะสามารถทำได้ 3 แบบคือ
1. Manual
การทำงานแบบเดิมด้วยมือจะเป็นการใช้กระดาษไขทาบลงบนพิมพ์เขียวแล้วใช่ดินสอหรือปากกาวาดตามแบบบนไข
เสร็จแล้วนำแบบไขที่วาดไปใช้งานออกแบบเพิ่มเติม
ต่อมามาการใช้เครื่อง
Digitizer
ที่เป็น hardware ต่อกับคอมพิวเตอร์ที่มีโปรแกรม CAD การใช้งานทำได้โดยการนำแบบพิมพ์เขียวเดิมมาติดบนโต๊ะ
Digitizer
(ภาพประกอบ) ที่มีอุปกรณ์คล้ายเม้าส์
ที่เป็นอุปกรณ์ที่ใช้เพื่อคลิกบอกตำแหน่งตรงพิมพ์เขียวให้กลายเป็นตำแหน่ง coordinate บนโปรแกรม CAD การทำงานแบบนี้ต้องพึ่งอุปกรณ์ Digitizer ซึ่งมีหลายขนาดราคาก็แพงขึ้นตามลำดับ
ตั้งแต่ AutoCAD Release
14 เป็นต้นมา
เป็นการปฏิวัติอุตสาหกรมม CAD กับการทำงานกับภาพ เมื่อถึงตอนนี้สามารถ Import
ไฟล์ภาพเข้า AutoCAD ได้โดยตรง แล้วสามารถ Digitize ตามเส้นที่หน้าจอด้วยโปรแกรม
AutoCAD ได้เลย ทำให้อุปกรณ์ Digitizer ลดบทบาทการทำงานลงไปจนสูญพันธ์ไป การ Digitize ที่หน้าจอก็ยังเป็นการแปลงแบบ manual ที่เรายังลากเส้นที่ละเส้นหรือเขียนที่ละเส้นเหมือนเดิม
เปลี่ยนจากใช้กระดาษไข และ Digitizer มาทำงานบนหน้าจอ
ที่มีความสะดวก ประหยัดและถูกต้องมากขึ้นนั่นเอง
การทำงานวิธีนี้จะใช้เวลามากที่สุด2. Semi-Automatic
ในเวลาต่อมาเริ่มมีโปรแกรมแปลงภาพเกิดขึ้นมากมายทั้งแบบ
Stand
Alone ทำงานด้วยตัวเอง
และโปรแกรมที่ทำงานบน AutoCAD พร้อมๆกัน
โปรแกรมบางชนิดอาจจะไม่สามารถทำงานแบบ Automatic ได้ (เช่นโปรแกรม Autodesk Raster
Design) บางโปรแกรมสามารถทำงานได้ทั้งแบบ
Automatic
และ Semi-Automatic
ลักษณะการทำงานจะมี
function
ช่วยในการแปลงภาพเช่นคำสั่งลากเส้นที่ช่วย
snap ที่ pixel ของภาพได้เพื่อความถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
ช่วยลบเส้นภาพเมื่อเกิดการ convert หรือมี function ช่วยในการ trace ลายเส้น
ที่มักใช้มากกับไฟล์ภาพเส้นแสดงชั้นความสูง (Contours map) ที่สามารถช่วยในการแปลงเส้นและใส่ค่าความสูงของแต่ละเส้นเมื่อแปลงเสร็จ
สามารถนำไปใช้สร้างรูปพื้นที่ 3 มิติของพื้นที่ต่อได้เลย การทำงานแบบนี้จะสะดวกและเร็วกว่าวิธี
manual
(แบบ manual สมมติคลิกเส้น contour 1 เส้น ใช้เวลา 3 นาที แต่ Function Trace เส้นสามารถ Trace และแปลงเส้นขนาดที่เท่ากันเป็น CAD ใน 1-2 วินาที เป็นต้น) เทียนกับแบบ manual การทำงานก็ยังทำที่ละเส้นอยู่ดีเพื่อความถูกต้อง
ซึ่งก็ยังต้องใช้เวลา แต่น้อยกว่า และมีข้อดีคือผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องระหว่างที่ทำงาน
ทำให้ได้งานที่แปลงเป็น CAD ที่มีความถูกต้องมากขึ้น
การทำงานแบบ Semi-Automatic จะใช้เวลาพอสมควร ช่วงเวลาอยู่ระหว่างแบบ manual และ Automatic
3. Automatic
วิธีนี้ส่วนใหญ่มักบอกว่าเป็นวิธีที่เร็วที่สุด ถูกต้องในระดับหนึ่ง เพราะการแปลงแบบนี้อาจจะเร็ว
แต่ผลที่ได้อาจจะไม่ใช้แบบแปลงที่ดีหรือใช้ได้ทั้งหมด คืออาจจะมี CAD ขยะปนออกมาทำให้
ต้องเสียเวลาซ่อมหรือลบทิ้ง เพราะจุด 1 จุด ที่หลงอยู่โปรแกรมก็อาจแปลงเป็นจุด (point)
หรือเส้น (line) เล็กๆ ให้ ความช้าเร็วและความถูกต้องขึ้นกับความสามารถของโปรแกรม และ
ความละอียดและสะอาดของพิมพ์เขียวเป็นหลัก ถ้าแสกนพิมพ์เขียวค่อนข้างสะอาด
(โปรแกรมด้าน Conversion จะมี function – clean ทำความสะอาดแบบ
แต่ต้องแลกด้วยความคมชัดที่ลดลงตามอัตราการทำความสะอาด) การ Convert แบบก็จะเร็ว
และถูกต้องมากขึ้น วิธีนี้จะใช้กับแบบที่ไม่มีความซับซ้อนมากนัก การที่วิธีนี้กินเวลามาก
จะอยู่ที่แบบไม่สะอาด เส้นสายในภาพขาด แหว่ง เมื่อแปลงภาพแล้วต้องมาใช้ CAD
ซ่อมต่อเช่น เชื่อมเส้น ใส่ text เพิ่ม หรือลบ CAD ขยะที่เกิดขึ้น เป็นต้น
ตอนหน้าหัวข้อปิดท้าย series นี้
แปลงข้อมูล Laser Scanner (การนำข้อมูลมาใช้ออกแบบด้วยโปรแกรม Revit Architecture)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น